ประวัติ Gabriel Jesus จากเด็กทาสี สู่นักเตะระดับเวิร์ดคลาส

กาเบรียล เฟอร์นันโด เด เจซุส ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1997 ทางตอนเหนือของเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล เขาเริ่มหลงใหลในกีฬาฟุตบอลตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยมี โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เด ลิมา (R9) เป็นต้นแบบในการเล่นฟุตบอลของเขา ในปี 2010 เขาได้มีโอกาสร่วมทีม Anhanguera สโมสรระดับเยาวชนของบราซิล เขาใช้เวลาแค่ 2 ปี ฝึกฝนอย่างมีระเบียบวินัยและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม จนไปเตะตาแมวมองของสโมสรเยาวชนอย่างพัลไมรัส รีบกระชากตัวเด็กหนุ่มจากเมืองเซาเปาโลเข้าทีมในปี 2013 ด้วยพรสวรรค์ที่ติดตัวมา เขาระเบิดฟอร์มอันร้อนแรงในชุดเยาวชนกับพัลไมรัส ด้วยผลงานที่สุดยอดซัดไป 54 ประตู จากการลงเล่น 48 นัดทุกรายการในปีแรกของเขา ถัดมาอีก 1 ปี กาเบรียล ยังสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม เขาลงสนามให้กับทีมเพียง 22 นัด แต่เขายิงประตูได้ถึง 37 ประตู ทำให้ในปี 2015 เขาถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของสโมสรในวัยเพียง 18 ปี จากนั้นในปี 2016 กาเบรียล เจซุส โชว์ผลงานที่โดดเด่น สามารถพาพัลไมรัส คว้าแชมป์ลีกที่รอคอยมานานถึง 22 ปี มาครองได้สำเร็จ และยังครองรางวัลส่วนตัวมากมาย จนเป็นที่สนใจของสโมสรชั้นนำในยุโรป และเป็นทางด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศคว้าตัว กาเบรียล เจซุส เข้าร่วมทีมล่วงหน้าในปี 2016 ด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ และจะย้ายมาร่วมทัพในเดือนมกราปี 2017

ความท้าทายครั้งใหม่ในลีกยุโรป

การมาของวันเดอร์คิดชาวแซมบ้าเพียงวัย 19 ปี ต้องเผชิญความยากลำบากในช่วงแรกเล็กน้อย เพราะเขาต้องเป็นอะไหล่ของกองหน้าหมายเลข 1 ของทีม อย่าง กุน อเกวโร ด้วยความที่เขาไม่มีอีโก้ที่สูงจนเกินไป เขาสามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว เฆซุส ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมอย่างหนัก ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ตัวหลัก แต่ก็ได้รับโอกาสลงสนามอยู่เสมอ และมักทำผลงานได้ดีอีกด้วย ฤดูกาลแรก เขาลงสนามให้กับทีมไปเพียง 10 นัด แต่ทำได้ถึง 7 ประตู จากนั้นเขาต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้พลาดการลงเล่นไปหลายนัด ซิตี้ทำได้เพียงรองแชมป์ จากนั้นในฤดูกาลที่ 2 กาเบรียล เฆซุสได้มีส่วนร่วมกับทีมมากขึ้น ด้วยผลงาน 17 ประตูจากการลงเล่น 42 นัดในทุกรายการ สามารถพาแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้ง แชมป์พรีเมียร์ลีกและคาราบาว คัพ มาครองได้สำเร็จ ฤดูกาล 2018-19 กาเบรียล ยังคงทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา พาแมนฯ ซิตี้ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ ลีก และคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง ในฤดูกาล 2019-20 เขาได้ลงสนามมากขึ้น เนื่องจาก กุน อเกวโร ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง เขายังคงทำผลงานที่ดีแต่ไม่สามารถพาแมนฯ ซิตี้ ป้องกันแชมป์ลีกได้ แต่คว้าแชมป์คาราบาว คัพ มาเป็นรางวัลปลอบใจ จากนั้น 2 ฤดูกาลหลังสุดของกาเบรียล เฆซุส สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 2 ปีติดต่อกัน ในช่วงเดือนมกราปี 2022 สโมสรแมนฯ ซิตี้ประกาศคว้าตัวเออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ มาร่วมทีมก่อนจบฤดูกาล ทำให้เขาเริ่มกังวลถึงอนาคตของเขาในถิ่น เอติฮัต แม้เขาจะประสบความสำเร็จมากมายกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เขาไม่อยากเป็นแค่สำรอง เขาอยากเป็นกำลังหลักของทีมมากกว่านี้ สุดท้ายก็เป็นทีม อาร์เซน่อล ที่ได้คว้าตัวกองหน้าชาวบราซิลไปร่วมทัพ ปิดฉาก 6 ปี กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

บทพระรองจากทีมเก่าสู่บทบาทพระเอกของทีมใหม่

การมาของ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ทำให้ กาเบรียล เจซุส ตระหนักแล้วว่าเขาคงต้องกลับไปรับบทบาทพระรองแบบเดิมเหมือนที่เคยเป็นสมัยมาแมนฯ ซิตี้ใหม่ๆ ตอนนั้นอาจจะยอมรับได้เพราะเขาอายุยังน้อย แต่ตอนนี้เขาโตพอที่จะเป็นกำลังหลักได้แล้ว ทำให้เขาได้ตัดสินใจที่จะอำลาถิ่น เอติฮัต เขาเลือกที่จะย้ายไปร่วมทีมอาร์เซน่อล โดยมี มิเกล อาร์เตต้า อดีตผู้ช่วยของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือ ทางด้านอาร์เซน่อลก็ไม่รอช้า ยื่นข้อเสนอ 47 ล้านปอนด์ คว้า กาเบรียล เจซุส ทันที การมาของ เจซุส ไม่ทำให้แฟนๆ ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ผิดหวัง เพราะเขาไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก เขาเข้ามาเติมเต็มแนวรุกของทีมได้อย่างลงตัว จากพระรองในสีเสื้อของแมนฯ ซิตี้ สู่พระเอกของทัพปืนใหญ่ กลายเป็นขวัญใจของเหล่าแฟนๆ อาร์เซน่อลทันที เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า เขาคือกองหน้าระดับ World class คนหนึ่งของวงการฟุตบอล

ทีมชาติ

ในนามทีมชาติ Gabriel Jesus ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน โดยเขาถูกเรียกให้ติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 18 ปี เล่นให้ทีมชาติทั้ง U20 U23 และทีมชุดใหญ่ โดยในปี 2016 เป็นช่วงที่ เฆซุส กำลังท็อปฟอร์มสุดๆ สามารถพาทีมชาติบราซิล (U23) คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะถูกดันขึ้นชุดใหญ่ในเวลาต่อมา

เหตุการณ์สำคัญในทีมชาติ

ในปี 2019 กาเบรียล เจซุส ยังคงเป็นขุนกำลังหลักให้กับทีมชาติบราซิล สู้ศึกโคปา อเมริกา 2019 ที่ประเทศบราซิล เป้าหมายสูงสุดคือการคว้าแชมป์เท่านั้น โดยเขามาโชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในเกมรอบรองชนะเลิศ ที่พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างทีมชาติอาร์เจนตินา เขาสามารถทำประตูออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจบเกมจะชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับทีมชาติเปรูที่ผ่านเข้าชิงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1975 กาเบรียล เจซุส ยังคงทำผลงานได้อย่างสุดยอด มีส่วนสำคัญกับเกมและสามารถทำประตูในเกมนี้ได้อีกด้วย จบเกม บราซิลชนะเปรูไป 3-0 คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง

ที่มาของท่าดีใจ

ที่มาของท่าดีใจของกาเบรียล เฆซุส นั้นมาจากแคมป์ทีมชาติ เมื่อคุณแม่ของเขาทราบข่าวว่าลูกชายต้องแบกรับความกดดันครั้งใหญ่ เนื่องจาก เนย์มาร์ จะไม่ได้ลงสนาม ทำให้คุณแม่ตัดสินใจโทรหาเฆซุส ก่อนเกมเพื่อส่งกำลังใจเพื่อลดความกดดันให้กับลูกชาย ในเกมดังกล่าวกาเบรียล เฆซุส สามารถทำประตูได้นั้นคือจุดเริ่มต้นของท่าดีใจ “Alo mae” (ฮัลโหลแม่)

ความสำเร็จสโมสร/ทีมชาติ

พัลไมรัส

บราซิลลีก เซเรีย เอ : 2016

โคปา โด บราซิล : 2015

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

พรีเมียร์ ลีก : 2017-18, 2018-19, 2020-21, 2021-2022

เอฟเอ คัพ : 2018-19

ลีก คัพ : 2017-18, 2019-20, 2020-21

เอฟเอ คอมมิวนิตีชีลด์ : 2018, 2019

ทีมชาติบราซิล

เหรียญทองโอลิมปิก (U23) : 2016

โคปา อเมริกา : 2019

ความสำเร็จส่วนตัว

ผู้เล่นหน้าใหม่ประจำลีกบราซิล : 2015

ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกบราซิล : 2016

ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกบราซิล : 2016

โบลา เดอ อูโร(โกลเด้นบอล) : 2016

โบลา เดอ ปราตา(ผู้เล่นที่ดีที่สุดของลีกบราซิล) : 2016

เกร็ดความรู้ของ กาเบรียล เจซุส สายสัมพันธ์กับผู้เป็นแม่

ครอบครัวของ กาเบรียล เจซุส ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เขายังมีพี่ชายอีก 2 คน โดยการเลี้ยงดูของผู้เป็นแม่เพียงคนเดียว เนื่องจากคุณพ่อของเขาได้เสียชีวิตตั้งแต่ เจซุส ยังเป็นเด็ก ทำให้เขาสนิทสนมและผูกพันกับแม่เป็นอย่างมาก นั้นเพราะแม่คือคนที่สนับสนุนในตัวของเขามาโดยตลอด ทำให้เขามีแรงผลักดันเพื่อที่จะทำให้แม่และครอบครัวของเขาสบาย ในขณะที่เขาเล่นฟุตบอลให้กับทีมเยาวชนของพัลไมรัส เขายังรับงานพิเศษโดยการรับจ้างทาสีถนน ก่อนเกมฟุตบอลโลก 2014 ที่ บราซิลเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว ก่อนที่จะเป็นสตาร์ดังในปัจจุบันและเขามีรายได้ที่เลี้ยงครอบครัวของเขาให้อยู่แบบสุขสบายได้แล้ว นอกจากนี้ด้วยความที่เขารักแม่ของเขามากๆ เขายังสักรูปใบหน้าของแม่ที่แขนด้านซ้ายอีกด้วย

© 2022 Copyright: 1688UFABET เว็บพนันออนไลน์ ที่ดีที่สุดในเอเชีย ฝาก-ถอน ออโต้ 24 ชั่วโมง